“พราว เรียล เอสเตท” เปิดตัว “เวหา” คอนโดฯ ระดับลักชัวรี่สูงสุดในหัวหิน มูลค่า 2,290 ลบ.

บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) สบช่องตอบรับการเติบโตของดีมานด์ตลาดคอนโดมิเนียมเมือง “หัวหิน” ล่าสุดเปิดตัวโครงการ “เวหา” (VEHHA) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่บนทำเลศักยภาพสูงที่สุดในหัวหิน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Happiness Happens” มูลค่ารวม 2,290 ล้านบาท 

“โครงการเวหา ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ Happiness Happens โดดเด่นด้วยดีไซน์แบบ Single Corridor ทำให้มองเห็นวิวทะเลทุกยูนิตแบบพาโนรามา เรามีห้องให้เลือกถึง 7 แบบแต่ง Fully Furnish มีพื้นที่ส่วนกลางสูงถึง 2,647 ตร.ม. (ประมาณ 2 ไร่) ที่แทรกอยู่ระหว่างชั้นกว่า 10 ชั้น เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างหลากหลายลงตัว ตามแนวคิด “More Than Just Living” ซึ่งเป็นการผสานระหว่างการพักผ่อนและการบริการระดับรีสอร์ท ด้วยบริการเหนือระดับรวมถึงเซอร์วิสจากเครือโรงแรมระดับโลก คือ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท วานา นาวา หัวหิน พร้อมทั้งโปรแกรม “พราว พริวิเลจ” และสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากธุรกิจในเครือของพราวฯ และสิทธิเข้าเล่นสวนน้ำวานา นาวา ฟรี 5 ปี ซึ่งนับเป็นแห่งแรกในเมืองไทย และทั้งหมดนี้เพื่อมอบความสุขให้ผู้อยู่อาศัยที่มากกว่าในราคาเริ่มต้น 3.19 ล้านบาท”

ซึ่งทางโครงการมีรูปแบบห้องให้เลือกถึง 86 แบบ

จำนวนห้องของโครงการเวหา จะมีด้วยกันทั้งหมด 364 ยูนิต ซึ่งมีแบบห้องที่มีขนาดและรูปแบบฟังก์ชั่นห้องที่แตกต่างกันถึง 86 แบบ มีขนาดห้องเริ่มต้นตั้งแต่ 28 ตารางเมตร แต่จะแบ่งตามพื้นที่ทั่วไปสามารถแบ่งห้องพักที่มีให้เลือกหลักทั้งหมด 7 แบบ ที่ตกแต่งครบ (Fully Furnish) ได้แก่

1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 28-30 ตารางเมตร​

1 Bedroom Plus พื้นที่ใช้สอย 42-46 ตารางเมตร​

1 Bedroom Plus Corner พื้นที่ใช้สอย 44-45 ตารางเมตร

2 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 56-109 ตารางเมตร

2 Bedroom Jacuzzi พื้นที่ใช้สอย 103 ตารางเมตร

Penthouse พื้นที่ใช้สอย 148-153 ตารางเมตร

Penthouse Duplex พื้นที่ใช้สอย 101-349 ตารางเมตร


สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองหัวหินยังมีโอกาสเติบโต ด้วยศักยภาพของเมืองที่มีเสน่ห์และมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน อีกทั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นแนวทางพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตทะเลฝั่งตะวันตกในโครงการ “Thailand Riviera” เพื่อยกระดับเมืองท่องเที่ยวชายทะเล สู่ระดับโลก ครอบคลุมตั้งแต่ จ.เพชรบุรี, จ.ประจวบคีรีขันธ์, จ.ชุมพร และ จ.ระนอง รวมถึงจาก Mega Project ของรัฐบาล อาทิ รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ สนามบิน และทางด่วนส่วนขยาย อีกทั้งแผนพัฒนาโครงข่ายการคมนาคม ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางโดยเครื่องบินปัจจุบันมีแผนขยายสนามบินเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และความร่วมมือกับ Phoenix Group เพื่อเตรียมพัฒนาสนามบินหัวหินสู่สนามบินนานาชาติหัวหิน โดยในเดือนกรกฎาคม 2565 จะมีการเพิ่มไฟล์ทบินตรงจากภูเก็ต และนำเส้นทางบินจากเชียงใหม่กับกัวลาลัมเปอร์กลับมาอีกครั้ง การเดินทางโดยรถยนต์ บนถนนพระราม 2 กำลังขยายเพิ่มเป็น 14 เลน ซึ่งตอนนี้เสร็จแล้ว 8 เลน และทางด่วนยกระดับคู่ขนานมอเตอร์เวย์นครปฐมและชะอำที่มีแผนเสร็จสิ้นในปี 2568 การเดินทางโดยรถไฟมีแผนพัฒนารถไฟทางคู่และรถไฟไฮสปีดอย่างต่อเนื่องที่จะช่วยลดเวลาการเดินทางให้จา กกรุงเทพฯ มาหัวหินใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีสัญญาณดีด้านการท่องเที่ยวและกำลังซื้อทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ โดยตลาดในประเทศโรงแรมและ การท่องเที่ยวในหัวหินได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากแคมเปญของรัฐบาลในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในส่วนของตลาดที่พักอาศัยยอดขายส่วนใหญ่บ้านประเภท Resort Home ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา ขณะที่ตลาดต่างประเทศ ในด้านการท่องเที่ยวค่อยๆฟื้นฟูกลับมาเช่นกัน อีกทั้งยังพบดีมานด์ในกลุ่มลูกค้าชาวยุโรปที่ต้องการบ้านสำหรับช่วงเกษียณอายุโดยเฉพาะประเทศรัสเซีย

ด้านแผนการตลาด นางสาวพราวพุธ กล่าวว่า “เราวางกลุ่มเป้าหมายของ “เวหา” เป็นกลุ่มครอบครัวตั้งแต่คู่ที่เพิ่งแต่งงานไปจนถึงครอบครัวขนาดใหญ่ รวมถึงชาวต่างชาติที่เกษียณอายุการทำงานและอยากเข้ามาอยู่ในเมืองไทยในราคาที่จับต้องได้เฉลี่ยประมาณ 132,000 บาท/ตร.ม. ทั้งนี้อ้างอิงข้อมูลผลวิจัยจากไนท์แฟรงค์ฯพบว่าราคาเสนอขายเฉลี่ยคอนโดฯ วิวทะเลมีแนวโน้มเติบโตขึ้นมากกว่าห้องไม่ติดทะเล ปัจจุบันห้องไม่ติดวิวทะเลมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 70,700 บาท/ตร.ม.

ห้องวิวทะเลราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 141,670 บาท/ตร.ม. และตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มที่พักอาศัยไม่มีวิวทะเลจะอยู่ที่ราคาต่ำกว่า 100,000 บาท/ตร.ม. กลุ่มที่พักอาศัยระดับลักชัวรี่ติดชายหาดมีราคาประมาณ 130,000 บาท/ตร.ม. หรือสูงกว่าและกลุ่ม Super Rare Item ที่หันหน้าเข้าหาวิวทะเลโดยตรงมีราคาเฉลี่ยสูงมากกว่า 275,000 บาท/ตร.ม. จึงมองว่าราคาขายของ “เวหา” มีความคุ้มค่าเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับทำเลที่ตั้ง”“เบื้องต้นเราได้เริ่มทำการตลาดในฝั่งต่างประเทศไปบ้างแล้วและกำลังเริ่มสร้างการรับรู้ในไทยผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์โดยแบ่งสัดส่วนการทำงานตลาดต่างประเทศและตลาดในประเทศอยู่ที่ 20 : 80 ซึ่งค่อนข้างได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมายของเรา คาดว่าภายในสิ้นปี 2565 จะสามารถสร้างยอดขายจากโครงการนี้ได้ประมาณ 50%”

ความคิดเห็น